งานสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) บางขุนเทียน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งแบบออนไซต์และออนไลน์จำนวน 50 คน งานสัมมนามีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจชีวภาพซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่บูรณาการการใช้ทรัพยากรชีวภาพ เทคโนโลยีนวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างสังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน งานสัมมนานี้จัดโดย มจธ. ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และได้รับการสนับสนุนจาก Hub Net Zero โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเดนมาร์กและไทยมาร่วมแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการวิจัยและนโยบายด้านเศรษฐกิจชีวภาพในยุโรปและประเทศไทย ได้แก่ Prof. Lene Lange ซีอีโอของบริษัท LL-BioEconomy และ ดร.วรินธร สงคศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ไบโอเทค
งานสัมมนาได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร. บุณยพัต สุภานิช ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงงานต้นแบบ (สรบ.) กล่าวต้อนรับ และ ศ.ดร. นวดล เหล่าศิริพจน์ ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) กล่าวเปิดงาน
Prof. Lange ได้นำเสนอถึงศักยภาพของการใช้ประโยชน์จากชีวมวล โดยเฉพาะจากแหล่งของเสีย เช่น ขยะอาหาร เศษพืช ซากจุลินทรีย์ ขยะจากป่าไม้ และชีวมวลจากแหล่งน้ำ (blue biomass) พร้อมทั้งชี้ให้เห็นบทบาทสำคัญของเอนไซม์จากเชื้อราในการแปลงชีวมวลหลากหลายประเภท นอกจากนี้ยังได้นำเสนอความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจชีวภาพที่นำโดยประเทศผู้ผลิตชีวมวลรายใหญ่ระดับโลก ได้แก่
- การประกาศโมเดลบีซีจีของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2564
- แผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ 5 ปีของจีนในปี 2565
- กฎหมาย Inflation Reduction Act ที่สนับสนุนการใช้ทรัพยากรชีวภาพของสหรัฐฯ ในปี 2565
- นโยบาย BioE3 ของอินเดียในปี 2566
- การประกาศ 10 หลักการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพโลกของประธาน G20 ของบราซิลในปี 2566
นอกจากนี้ อิตาลีในฐานะประธาน G7 ในปี 2566 ได้เสนอการอภิปรายเศรษฐกิจชีวภาพในวาระ G7 ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปกำลังเร่งพัฒนากรอบข้อบังคับและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีชีวภาพและเศรษฐกิจชีวภาพ โดยมีการดำเนินการสำคัญในปี 2566 ได้แก่ การรวมเทคโนโลยีชีวภาพไว้ในแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์สำหรับยุโรป (EU Strategic Technologies for Europe Platform: STEP) และการเปิดตัวระบบบสิทธิบัตรแบบรวม (Unitary Patent System) ที่ลดขั้นตอนในการขอรับความคุ้มครอง
Prof. Lange ยังได้นำเสนองานวิจัยของเธอในการพัฒนาวิธีการค้นพบเอนไซม์ที่รวดเร็วและมุ่งเป้าที่เรียกว่า Peptide Pattern Recognition (PPR) และ Conserved Unique Peptide Patterns (CUPP)
จากนั้นได้สรุปด้วยการเสนอแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคี (เดนมาร์ก-ไทย) และระดับภูมิภาค (EU-ASEAN) ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ World Bioeconomy Association, the Global Bioeconomy Summit และโครงการ Young Bioeconomy PhD/Scientist International Collaboration
ดร.วรินธรได้นำเสนอข้อมูลยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชีวภาพของประเทศไทยและในระดับภูมิภาค โดยได้กล่าวถึงโมเดลบีซีจี (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ซึ่งผลักดันโดยประชาคมวิจัยไทยและรัฐบาลไทยได้ตอบรับและบรรจุเป็นวาระแห่งชาติเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืน นอกจากนี้ ดร วรินธรยังได้แนะนำโครงการต่าง ๆ ที่ประเทศไทยดำเนินการเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพของภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วย
- โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับประเทศลุ่มน้ำโขง (Molecular Rice Breeding Program for the Mekong Region)
- โครงการสร้างศักยภาพด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่มันสำปะหลังมูลค่าสูงในประเทศลุ่มน้ำโขง (Capacity Building on Circular Economy, Resource and Energy Efficiency for Productivity and Sustainability of Cassava Chain to High Value Products: Cassava Root, Native Starch, and Biogas in Mekong Countries: CCC)
เครือข่ายอาเซียนด้านการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ (ASEAN Network on Microbial Utilization), และเครือข่ายอาเซียนด้านบีซีจี (ASEAN BCG Network)
ภายหลังการสัมมนา คณะผู้บริหารและนักวิจัย มจธ. ได้นำ Prof Lange เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย ห้องปฏิบัติการวิจัยของ JGSEE ศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านการจัดการและใช้ประโยชน์จากของเสียอุตสาหกรรมการเกษตร และศูนย์เชี่ยวชาญเทคโนโลยีเอนไซม์และการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์
งานสัมมนานี้ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจชีวภาพอันจะนำไปสูการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์บีซีจีของประเทศไทย